I’ve never care what tomorrow come I’ve care just only today that l have you!!!

วันพุธ, พฤศจิกายน 10, 2553

อินตระเดีย,,,In Love

       ขอกล่าวคำว่า สะ-วี-ดัด น๊ะก้าบ กับแฟนๆ(คลับ)และสวัสดีกับตัวเองด้วย มาพบกันอีกครั้งท่ามกลางความเหน็บหนาว ในค่ำคืนที่แสนอ้างว้าง เดี่ยวดาย กลิ่นอายความเหงาเริ่มเข้ามาเยือน ทำให้อดคิดถึงใครบางคนไม่ได้(พัดลม!!)ไง วันนี้จะกล่าวถึงมนต์เสน่ห์ของอินเดียว่าทำไมใครๆก้อมาอินเดีย?คนไทยทั้งพระและโยมต่างก็มาอินเดียตามจุดมุงหมายของตัวเอง บ้างมาเพื่อศึกษาต่อ(B.A,M.A.&Ph.D) ส่วนบางกลุ่มก็มาแสวงบุญปฏิบัติธรรมตามรอยบาทของพระพุทธศาสดาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณองค์พระเจดีย์พุทธคยา
        เริ่มตั้งแต่เข้าสู่ฤดูหนาวมา ณ แห่งนี้ที่อินเดีย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่คนไทยเลือกที่จะมาจาริกแสวงบุญโดยเฉพาะบ้านไทยเมืองพุทธเราที่มีธรรมะเป็นเครื่องหล่อหลอมจิตใจให้บริสุทธ์ ดังคำกล่าวที่ว่า "ครั้งหนึ่งในชีวิตชาวพุทธขอได้ไปกราบนมัสการสังเวชนียสถาน 4ตำบล ของพระพุทธองค์ก็คงตายตาหลับแล้ว" ปีนี้ก็เหมือนกันไม่น้อยหน้ากว่าปีที่ผ่านๆมามีชาวพุทธเรามาอินเดียกันเพิ่มขึ้นมาก เพราะในสมัยพุทธกาลอินเดียเป็นประเทศที่พระพุทธองค์ทรงโปรดเมตตาแสดงธรรมให้เหล่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้นความทุกข์ จากกิเลส เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน คือจุดหมายปลายทางของความหลุดพ้น การมาแสวงบุญที่อินเดียนั้นนิยมมาฤดูหนาวเพราะเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุด การเดินทางไม่ค่อยจะลำบากมากนักจะอยู่ในช่วงเดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งผู้แสวงบุญอาจจะมาส่วนตัวหรือมากับคณะทัวร์ก็ได้ บางท่านที่มาหลายครั้งแล้วก็คงชินกับบรรยากาศแบบอินเดีย ส่วนบางท่านมาครั้งแรกก็ต้องบอกไว้เลยว่าทำใจหน่อย(เดี๋ยวก้อชิน) การเดินทางมานั้นเดี๋ยวนี้สะดวกสบายมาก ทั้ง เครื่องบิน รถไฟ รถยนต์ เพราะรัฐบาลอินเดียได้พัฒนาไปบ้างแล้ว ส่วนพุทธสถานที่ผู้แสวงบุญมากราบนมัสการนั้นจะอยู่ในรัฐพิหาร(Bihar)และรัฐอุตตรประเทศ( U.P. ) เป็นส่วนมาก เช่น เมืองพุทธคยา นาลันทา ราชคฤห์ ไวสาลี กุสินารา สาวัตถี สารนาถ พาราณสี และประเทศเนปาล ครับบบ
       ตอนนี้ผมเองก็อยู่ในช่วงของการเตรียมตัวสอบเครียดมาก!!! ผมเองเลยอยากเขียนคลายเครียดสักหน่อยแบบว่าคันไม้คันมือ เพราะอ่านแต่ภาษาอังกฤษจนรู้สึกว่าจมูกเริ่มโด่งขึ้น(เบล๋อยๆ) จะขอเขียนตามประสาเด็กนักเรียนนอก(นอกคอก)ก็แล้วกันครับ ที่มีโอกาสที่ดีไปกราบนมัสการสังเวชนียถาน 4 ตำบล มาแล้วตั้งๆ 3 รอบ (เจ๋งจริงๆ) จะเล่าถึงพุทธสถานที่ต่างๆสำคัญของแต่ละเมือง ในอินเดียแบบว่าเต็มใจเสนอในเรื่อง "หนีตามพระพุทธเจ้า" (คุ้นๆน่ะ)ไม่ได้เลียนแบบก้าบแค่คล้ายๆน๊ะ คุณไม่ต้องคิดอะไรมาก(กับผู้เขียน)ขอแค่คุณเตรียมใจ กาย และสองตาให้พร้อมที่จะอ่านมัน ไปด้วยกันไม่ต้องเจอตั๋วใดๆทั้งสิ้น ย้ำ! ขอแค่อ่าน พร้อมหรือยังครับ...ถ้าคุณพร้อมแล้วโปรดติตามตอนต่อไป.....

วันอังคาร, ตุลาคม 26, 2553

เมื่อลมหนาวพลัดผ่าน...

  ความฝันที่ยังไปไม่ถึง...

           หนาวๆๆ...จัง เขาบอกว่าความหนาวมักจะมาพร้อม "ความเหงา" จิงหรือเปล่า   น่า!!!ฟังดูแล้วน่าใจหายเพราะเราไม่มีหมอนข้างให้กอด(อิจฉาจังเลย)ไม่เป็นไร_ไงเราก็มีผ้าห่มไงก้าบ ตอนนี้อินเดียเริ่มหนาวมา 5  วัน แล้ว เพราะว่าอยู่ติดภูเขาหิมาลัย จึงหนาวไวและจะหนาวกว่าทุกปีที่ผ่านมา อย่างไงก้อเตรียมเสื้อผ้าให้พร้อมเพื่อสุขภาพของตัวเรา และที่สำคัญที่สุด ใกล้จะสอบแล้ว ประมาณเดือน ธันวาคม(โอ้ย!!!ไวจัง) จงเตรียมตัวเองให้พร้อมน่ะครับ สำหรับผมเองเป็นการสอบครั้งแรกซึ่งมาพร้อมกับความกดดันมากๆ(พอๆกับยิงจุดโทษ)เกี่ยวกันหรือเปล่าเนี้ย!   เป็นเหตุที่ต้องอ่านมากเพราะไม่รู้อะไรเลยจึงอ่านเยอะ เอ้า! ถูกไหมครับ ที่นี้สอบเขียนอย่างเดียว(อังกฤษ) ไม่มีกากบาทแบบตัวเลือกยากที่จะใช่ลูกมั่วได้ เหมือนทุกครั้ง อิอิ ฟังดูแล้วน่ากลัว แต่ผมว่าน่าลองน่ะ มันท้าทายดีก้าบ จะทำให้รู้ว่าเราน่ะ หมู่หรือจ่า สักที คงไม่มีอะไรจะเหนือความพยายามเราไปได้น่ะใช่ป่ะ? ไม่ได้กำลังใจจากคนอื่นเราก็ให้กำลังตัวเองแล้วกันเนาะ(บ้าหรือเปล่า) สู้ๆๆ ก้อ (Impossible Is Nothing)....ถ้าเราหยุดที่จะฝันต่อไป...เราก็จะไปไม่ถึงความฝัน

วันพุธ, ตุลาคม 20, 2553

ทำไม??ต้องตักบาตรเทโวโรหณะ!!!


            เมื่อภิกษุสามเณรเข้าอยู่จำพรรรษาครบ “ไตรมาส” คือครบ ๓ เดือนแล้ว ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันแรกของวันออกพรรษา ในวันนี้ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งทางพระพุทธศาสนา ซึ่งสาธุชนต่างพากันไปประชุม ทำบุญ ตักบาตร ฟังเทศน์ตามวัดวาอารามต่าง ๆ เรียกว่า “ทำบุญออกพรรษา”           การออกพรรษาก็คือ การออกจากการอยู่ประจำในฤดูฝนของพระ เพราะในฤดูฝนพระท่านอยู่ประจำเป็นที่ ไม่ได้ค้างแรมที่อื่น เรียกว่า “จำพรรษา” เมื่อครบ 3 เดือนแล้วท่านก็จาริกไปค้างแรมที่อื่นได้ เรียกว่า “ออกพรรษา”
          วันออกพรรษานี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันปวารณา”           ในวันนี้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ทำปวารณาแทนอุโบสถสังฆกรรม คือ ไม่ต้องสวดพระปาติโมกข์ ซึ่งตามปรกติต้องสวดเป็นประจำปักษ์ คือทุก 15 วัน
          คำว่า “ปวารณา” ก็คือการยอมให้ใช้ ยอมให้ขอ ยอมให้ว่ากล่าว ยอมให้ตักเตือนกัน เป็นเรื่องของพระที่ท่านทำปวารณาต่อกัน คือต่างรูปต่างกล่าวปวารณาตามลำดับอาวุโส คำปวารณานั้นมีใจความว่า
          “ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า เมื่อข้าพระเจ้าสำนึกได้จักทำคืนเสีย แล้วสำรวมระหวังต่อไป”
          การออกพรรษา เป็นกิจพิธีของสงฆ์โดยเฉพาะ ส่วนพิธีของฆราวาสเนื่องในการออกพรรษาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากการบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตรตามวัดที่อยู่ย่านใกล้เคียง หรือที่ตนเคารพนับเลื่อมใสเป็นพิเศษ การบำเพ็ญกุศลในวันออกพรรษาเช่นนี้ ท่านจัดเป็นกาลทาน คือมีปีละครั้ง เป็นประเพณีสืบมา และในวันเช่นนี้ถือกันว่า เป็นวันคล้ายกับวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่ทรงจำพรรษาที่ดาวดึงส์เทวโลกครบ 3 เดือนแล้ว จึงพากันทำบุญตักบาตรเป็นการพิเศษด้วย
          มีเรื่องตำนานปรากฏในพุทธประวัติว่า เมื่อประมาณก่อน พ.ศ.80 พระพุทธองค์เสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา เมื่อครบ 3 เดือนแล้วได้เสด็จลงจากดาวดึงส์ในวันออกพรรษานี้ ที่่เมืองสังกัสสนคร ชาวพุทธจึงถือเป็นประเพณีสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อถึงวันเช่นนี้ก็เตรียมจัดอาหารเป็นพิเศษเพื่อใส่บาตร เรียกกันว่า “ตักบาตรเทโว(โรหณะ)” มีความหมายว่าเป็นการ “ตักบาตรเนื่องในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก” บางวัดก็ทำในวันกลางเดือน 11 บางวัดก็ทำในวันแรมค่ำหนึ่งเดือน 11
          ประเพณีที่ปฏิบัติกันมาคือ อัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนล้อเลื่อน มีบุษบก และมีบาตรตั้งอยู่หน้าพระพุทธรูป มีคนลากนำหน้าพระองส์ ประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าเสด็จ บรรดาทายกทายิกาต่างก็ตั้งแถวเรียงรายเตรียมใส่บาตร อาหารที่ใส่ในวันนั้นมีข้าว กับ ข้าวต้มมัด ข้าวต้มลูกโยนเป็นพื้น (สุดแต่ท้องถิ่น) โดยมากทำพิธีกันบริเวณพระอุโบสถ แต่บางแห่งทำพิธีเหมือนกับพระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลกจริง ๆ เช่นที่วัดสังกัส จังหวัดอุทัยธานี อัญเชิญพระพุทธรูปลงจากเขา มีพระสงฆ์เดินตาม ประชาชนรอใส่บาตรที่เชิงเขา หรือที่วัดสระเกศ โดยอัญเชิญพระพุทธรูป และพระสงฆ์ตามเสด็จลงจากภูเขาทอง เป็นต้น
          นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับการออกพรรษา ซึ่งพระมหากษัตริย์ได้ทรงบำเพ็ญเป็นประจำปีคือ นิมนต์พระบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวัง เรียกว่า “บิณฑบาตเวร” สามวันคือ วันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 11 วันละ 150 รูป พระมหาษัตริย์ทรงบาตรด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยเจ้านายฝ่ายใน เป็นราชพิธีสืมาทุกวันนี้           นอกจากนี้ก็มีประเพณีสวดมหาชาติคำหลวง ซึ่งได้จัดให้สวดในวันเข้าพรรษา 3 วัน กลางพรรษา 3 วัน และออกพรรษา 3 วัน ประเพณีการสวดมหาชาติคำหลวง หรือที่รียกว่า “สวดโอ้เอ้วิหารราย” ได้มีมานานแล้ว
          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยว่า เกิดขึ้นครั้งพระเจ้าทรงธรรม   คือพระเจ้าทรงธรรมรงพระราชดำริให้จัดประเพณีอ่านหนังสือสวดให้เป็นประโยชน์แก่สัปปุรุษ เป็นต้นว่า ให้มีพนักงานอ่านประจำวิหาร หรือศาลารายในพระอารามหลวง สำหรับสัปปุรุษจะได้ไปฟัง ประเพณีการสวดประจำวิหาร คือศาลารายซึ่งพระเจ้าทรงธรรมดำริขึ้น ยังมีอยู่จนบัดนี้เฉพาะที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และมีพวกเด็กนักเรียนสวดชาดกเรื่องอื่น ๆ ตามศาลาราย
          มหาชาติคำหลวง เป็นหนังสือว่าด้วยชาดกอันเป็นกำเนิดของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร แต่งขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นเวลา กว่า 400 ปีมาแล้ว จึงมีถ้อยคำที่ฟังยาก ๆ อยู่มาก เหตุที่แต่งนั้นก็เพราะถือกันว่า ถ้าผู้ใดได้ฟังคาถามหาชาติครบพันคาถา ที่เรียกกันว่า “คาถาพัน” (มีคาถา 1.000 คาถาพอดี) ย่อมจะได้รับอานิสงส์มาก และจะได้เกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์ด้วย แต่คาถานั้นผู้ฟังฟังไม่รู้เรื่องเพราะเป็นคาถาภาษามคธ (บาลี) การแต่งนั้นมีรับส่งให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตในกรุงศรีอยุธยาแต่ง วิธีแต่งเอาภาษามคธตั้งบาทหนึ่ง แล้วแปลแต่งเป็นภาษาไทยวรรคหนึ่ง สลับกันไป บางแห่งแต่งเป็นฉันท์บ้าง เป็นร่ายบ้าง เป็นกาพย์บ้าง ตามความถนัดของผู้แต่ง และเมื่อแต่งจากบทหนึ่งก็มีประโคมครั้งหนึ่ง ดังนี้จนครบ 13 กัณฑ์ หนังสือเรื่องนี้นับถือกันว่า แต่งดีเป็นเลิศมาแต่ครั้งกรุงเก่า ไม่ได้แต่งสำหรับเทศน์เหมือนอย่างมหาชาติกลอนเทศน์ที่ใช้เทศน์อยู่ในเวลานี้ แต่งสำหรับสวดมีทำนองน่าฟังมาก เข้าใจว่า พระเจ้าทรงธรรมทำแบบทำนองขึ้นไว้ เรียกว่า ทำนอง “กะ” คือ สวดเป็นทำนองตามที่กะไว้เป็นเสียงสูง เสียงต่ำ เสียงเอื้อน การสวดนั้นสวด 3 วัน วันละ 3 คน เป็นสำรับหนึ่ง ผู้สวดขึ้นนั่งเตียงสวดในพระอุโบสถ สวดถวายเวลาเสด็จไปบำเพ็ญพระราชกุศล ประเพณีอันนี้มีมาทุกปี.

วันอังคาร, ตุลาคม 12, 2553

Just close your eyes


ระหว่าง "คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา" เราควรจะเลือกใครดี
คนที่เรารัก.....คือคนที่ใช่สำหรับเรา

แต่บางครั้ง.....เรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่

คนที่เรารัก.....คือคนที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี

แต่แท้จริงแล้ว....เรากลับไม่รู้จักเขาเลย

คนที่เรารัก......คือคนที่เราพร้อมจะเป็นผู้ให้

แต่สิ่งที่เราให้.....เขากลับไม่เคยมองเห็นสิ่งที่เราให้ไป

คนที่เรารัก........คือคนที่เราอยู่ด้วยเวลามีความสุข

แต่เวลาเราทุกข์.....เรากลับมองหาเขาไม่เจอ

คนที่เรารัก....คือคนที่เราใส่ใจทุกเวลา

แต่ที่แย่กว่าคือ.....ตลอดมาเขาไม่ได้ "รักเรา"

.....ทางกลับกัน.....

คนที่รักเรา.......คือคนที่เราเพียงมองผ่าน

แต่เขา.....กลับมองเราอย่างใส่ใจ

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่พยายามทำความรู้จัก

แต่เขา.....กลับพยายามทำความรู้จักเรา

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยให้ความสำคัญมากมาย

แต่เขา.....กลับให้ในสิ่งที่ล้วนมีค่ามีความสำคัญกับเรา

คนที่รักเรา......คือคนที่เราไม่เคยเห็นหน้าเวลาสุข

แต่เวลาทุกข์......เขากลับเป็นเหมือนเงาคอยเฝ้าตาม

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยนึกถึง

แต่มีสิ่งหนึ่ง.....บอกให้รู้ว่า......"เขารักเรา

วันศุกร์, ตุลาคม 08, 2553

The History Of Vampires

___ตำนานแวมไพร์__           

          ผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ ( Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบที่มีพลังปีศาจ แม้ว่าผีดูดเลือดจะอยู่ในร่างมนุษย์ แต่ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ เพราะผีดูดเลือดนั้นมาจากคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลง เกิดใหม่ในร่างเก่าของตน
            ดูดเลือดสิ่งมีชีวิตเป็นอาหารและโอสถทิพย์ สังคมทุกสังคมรู้จัก "แวมไพร์" ตำนานกล่าวว่า แวมไพร์ คือผู้ที่ปรารถนาชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้าในวันพิพากษาที่จะมาประทานให้ทั้งคนเป็นได้มีชีวิตนิรันดร์และผู้วายปราณจะคืนชีพและเกิดใหม่ในฐานะมีชีวิตนิรันดร์ เช่นกัน แต่ อนิจาด้วยความโลภและใจเร็วเกินมนุษย์กลุ่มหนึ่งพยายามมีชีวิตเป็น นิรันดร์ ด้วยคัมภีร์เวทมนต์ กัมบาลา บางคนสำเร็จบ้างแต่บางคนสำเร็จแต่ต้องลงเอย ในรูปแวมไพร์ เสียส่วนมากพวกสำเร็จจริงๆเป็นส่วนน้อยครับ
สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือด ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน
ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
        ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ
        ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด
      บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็นแวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน
        บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล
           ปลายพุทะศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ
ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์ ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 07, 2553

Definition Of Love



มหาลัย,,,กระผมเอง อิอิ


ประวัติของ B.H.U.
          มหาวิทยาลัยบาณาราฮินดูหรือ       Banaras Hindu University ตั้งอยู่ที่เมืองพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ชาวภารตะ ถือว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย และใหญ่เป็นอันดับสามของโลก โดยมีพื้นที่  10 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,500 เอเคอร์ (3,750 ไร่) ถ้าวัดตามแนวกำแพงล้อมรอบมหาวิทยาลัยประมาณ 15 ตารางกิโลเมตร และเป็นมหาวิทยาลัยที่ควบคุมการบริหารโดยรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาทางศิลปวัฒนธรรมอินเดีย และวิชาการแขนงต่างๆ ทั่วอินเดีย และจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเดินทางมาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
                จุดเริ่มต้นของ Banaras Hindu University หรือเรียกสั้นๆ ว่า  B.H.U. เกิดขึ้นในประกายความคิด หรือจินตนาการของมหาบุรุษท่านหนึ่ง นามว่า “ท่านบัณฑิตมะดัน โมฮัน มาลวิยะ” ท่านเกิดเมื่อ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1861 (พ.ศ.2404) ที่เมืองอัลลาฮาบาด (Allahabad อยู่ห่างจากพาราณสี 125 กิโลเมตร) ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวที่เคร่งครัดในศาสนามากครอบครัวหนึ่ง และถึงแม้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวไม่สู้จะดีนัก แต่ท่านก็เป็นผู้ใคร่ในการศึกษาหาความรู้ จนกระทั่งสามารถเรียนจบในระดับปริญญาตรี ทางด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองอัลลาฮาบาด และหลังจากนั้นไม่นานท่านก็ตัดสินใจหันเหชีวิตเข้าสู่วงการการเมือง โดยเข้าร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชคืนจากอังกฤษ
                อินเดียในสมัยนั้น ทั่วทุกหัวระแหงคุกรุ่นไปด้วยกลิ่นไอแห่งชาตินิยม ซึ่งนำโดยกลุ่มพรรคองเกรส ท่านมาลวิยะได้อุทิศตนเพื่องานอันยิ่งใหญ่นี้ และเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกของความเป็นอินเดียให้เกิดขึ้นในจิตใจของคนรุ่นใหม่ จากการได้ลงพื้นที่ ทำให้ท่านได้สัมผัสกับความจริงที่มีอยู่ในขณะนั้น และได้ประจักษ์ว่า เอกราชที่แท้จริงนั้น ไม่ได้อยู่ที่การได้มาซึ่งเอกราชจากประเทศที่ปกครองอยู่เท่านั้น  แต่หมายถึง การสามารถรักษาประเพณีวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานับพันๆปีไว้ได้ การที่จะทำอย่างนี้ได้ จะต้องปลูกฝังจิตสำนึกของคนรุ่นใหม่ขึ้นมารองรับ เพื่อสร้างสังคมใหม่นั่นคือ จะต้องมีมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์แบบ
                มหาวิทยาลัยในอุดมคติของท่านมาลวิยะนั้น จะต้องมีลักษณะเด่น 2 ประการคือ นำเอาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกตะวันตกมาผนวกผสมผสานให้เข้ากับภูมิปัญญาของโลกตะวันออกคือไม่สุดโต่งตามแบบตะวันตกมากเกินไป และไม่ยึดติดกับความคิดเก่าๆ ของตนเองมากเกินไป ต้องรู้จักเลือกเอาสิ่งที่ดีๆ จากโลกทั้งสอง มาประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้
                 แนวความคิดของท่านมาละวิยะ เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เมื่อท่านได้เผยแพร่แนวความคิดนี้ออกไปทั้งการพูดและการเขียน มหาชนตั้นแต่มหาราชจนกระทั่งถึงยาจก ขานรับแนวความคิดนี้เป็นจำนวนมาก และร่วมบริจาคเงินให้แก่ท่านตามกำลังศรัทธา
กล่าวกันว่า ขอทานท่านหนึ่งได้นำเงินที่ขอมาได้ตลอดวันนั้นไปมอบให้กับท่านด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง ตัวเอง(พร้อมทั้งครอบครัว) จะอดสักวันก็ไม่เป็นไร ท่านมาละวิยะจึงได้สมญานามใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งว่า “ขอทานของขอทาน”
                เมื่อ ปี ค.ศ. 1900 ( พ.ศ.2443) ท่านมาละวิยะได้จัดประชุดระดมความคิดที่จะจัดสร้างมหาวิทยาลัยในฝันจากบรรดานักปราชญ์และท่านผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย  ที่เมืองอัลลาฮาบาด และได้การสนับสนุนอย่างแข่งขันจากมหาราชเมืองพาราณสี นามว่า “ประภู นารายณ์ ซิงห์” (Prabhu Narain Singh)  และผู้สำเร็จราชการแห่งรัฐอุตตรประเทศ คือท่านเซอร์ แอนโทนี่ แมคโดนัล ( Sir Antony Mcdonald)  ดังนั้น สภากรรมการมหาวิทยาลัยฮินดูก็ได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
          เมื่อจะจัดสร้างจริงๆ สถานที่ที่เลือกก็คือ “เมืองพาราณสี”ในพื้นที่กว้างขวางถึง 3พัน กว่าไร่ สาเหตุที่เลือกเอาเมืองพาราณสี เพราะว่า ตัวเมืองพาราณสีเป็นศูนย์กลางหรือหัวใจ ของศาสนาฮินดูและคนฮินดูซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ (ประมาณ 79%) และมหาวิทยาลัยที่จะจัดขึ้นก็มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมอินเดียโดยตรง
                จนกระทั่งวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) คณะกรรมการจัดตั้งมหาวิทยลัยก็ได้จัดตั้งพิธีวางศิลาฤกษ์มหาวิทยาลัยขึ้น นั่นเป็นเครื่องหมายว่า  Banaras Hindu University ได้เริ่มขึ้นในปีนั้นเอง ขณะที่กำลังดำเนินก่อสร้างอาคารต่างๆอยู่นั้น ส่วนหนึ่งก็ได้เปิดทำการเรียนการสอนขึ้น โดยนำเอา 3 วิทยาลัย (Colleges) มารวมเป็น  B.H.U. คือ
  1. Centran Hindu College 
  2. Centren Hindu Boys’ School
  3. Rannir Sanskit Palhshala
และคณะที่เปิดสอนเปิดเรียนในตอนเริ่มต้นมี 5 คณะคือ
  1. ตะวันออก ศึกษา ( Oriental Learning)
  2. เทววิทยา ( Theology)
  3.  ศิลปศาสตร์  (Arts)
  4. วิทยาศาสตร์ ( Science) และ
  5.  กฎหมาย  ( Law )
ครั้งแรกเปิดการเรียนการสอนที่  Kamachcha เป็นการชั่วคราวก่อน หลังจากที่สร้างอาคารเรียน
ต่างๆเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็ทยอยย้ายกันเข้ามาเปิดเรียนภายในตัวมหาวิทยาลัยทั้งหมด
จากเริ่มแรก 5 คณะ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้เปิดคณะต่างๆ ให้นักศึกษาได้เลือกเรียนถึง 3 สถาบัน 14 คณะ
 และแยกเป็นภาควิชาสาขาต่างๆ อีก 114 สาขา มีนักศึกษามาจากทั่วทุกภาคทุกรัฐของอินเดีย และจากหลายประเทศทั่วโลกได้มาอยู่เป็นจำนวนมาก (ประมาณ 20,000 คน) คณาจารย์ 1,700 ท่าน และพนักงานเจ้าหน้าที่ทำงานแผนกต่างๆรวมทั้งคนงาน ( non– teaching ) อีกประมาณ 5,000 คน
                จากนั้น ค.ศ. 1916 (พ.ศ.2459) จนถึงทุกวันนี้ ค.ศ. 1999 (พ.ศ.2542) นับเป็นเวลา 83 ปีพอดีที่มหาวิทยาลัยได้เจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาออกมา เปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่อุดมไปด้วยผล ให้บรรดาหมู่วิหคน้อยใหญ่ ได้เข้ามาอาศัยและเสวยภักษาผลอย่างอิ่มหน่ำสำราญ
                ลักษณะที่โดดเด่นประการหนึ่ง ของมหาวิทยาลัยบาณารัส ฮินดู (B.H.U.) ที่กล่าวขานกันโดยทั่วไปก็คือเป็นมหาวิทยาลัยที่จัดหอพักภายในมหาวิทยาลัย ให้นักศึกษาอยู่อาศัยได้มากที่สุดและใหญ่ที่สุด ในเอเชีย คือมีหอพักนักศึกษามากกว่า 50 หอพัก นักศึกษามากกว่าครึ่งหนึ่งสามารถอาศัยอยู่ในหอพัก ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้
                ด้านการศึกษา มหาวิทยาลัยได้จัดดำเนินตามปณิธานของท่านผู้ก่อตั้ง คือท่านบัณฑิตมะดัน โมฮัน มาลวิยะ ในการศึกษาเกี่ยวกับภูมิปัญญาของอินเดีย เช่น ศาสนา ปรัชญา จักรวาลวิทยา อายุรเวท เป็นต้น ถือว่า B.H.U. เป็นแหล่งที่ดีที่สุด แม้แต่ในด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีของที่นี่ก็เป็น 1 ใน 4 ของสถาบันการศึกษาด้านเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในอินเดีย
                B.H.U. เป็น1 ใน 12 มหาวิทยาลัยที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลกลาง โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนต่างๆจากรัฐบาลกลางอย่างเพียงพอ ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ ทั้งๆที่เก็บค่าเล่าเรียน ค่าพักในอัตราที่ค่อนข้างถูกมาก หากเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ
                เมื่อมองย้อนหลังกลับไป 83 ปีที่แล้ว B.H.U.  เป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดเท่านั้น แต่มาบัดนี้ B.H.U.  มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ พร้อมที่จะสนองความต้องการของท่านผู้ใคร่ต่อการศึกษาทั้งหลายที่มาจากทั่วทุกมุมโลก มหาวิทยาลัย บาณารัสฮินดู ที่เราท่านได้เห็นได้สัมผัสอยู่นี้ เกิดขึ้นจากความฝัน จากความมุ่งมั่นที่จะกระเทาะเปลือกแห่งอวิชชาให้ออกจากจากใจของผู้โง่เขลาทั้งหลาย และแรงบันดาลใจของมหาบุรุษนามว่า “ ท่านบัณฑิต มะดัน โมฮัน มาลวิยะ”